Hamutaro - Hamtaro 6

วันอังคารที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2560

กิจกรรมที่3 ประเภทโครงงานคอมพิวเตอร์

⌨ ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประเภทโครงงานคอมพิวเตอร์

   คอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยในทุก ๆ สาขาวิชา ดังนั้นโครงงานคอมพิวเตอร์จึงมีความหลากหลายเป็นอย่างมาก ทั้งในลักษณะของเนื้อหา กิจกรรม และลักษณะของประโยชน์หรือผลงานที่ได้ ซึ่งอาจแบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 5 ประเภท คือ
     1. โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media)
     2. โครงงานพัฒนาเครื่องมือ (Tools Development)
     3. โครงงานประเภทจำลองทฤษฎี (Theory Experiment)
     4. โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน (Application)
     5. โครงงานพัฒนาเกม (Game Development)

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประเภทโครงงานคอมพิวเตอร์


1.โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media)
     เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการผลิตสื่อเพื่อการศึกษา โดยการสร้างโปรแกรมบทเรียน หรือหน่วยการเรียน ซึ่งอาจจะต้องมีภาคแบบฝึกหัด บททบทวน และคำถามคำตอบไว้พร้อม ผู้เรียนสามารถเรียนแบบรายบุคคลหรือรายกลุ่ม การสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยนี้ ถือว่าเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์การสอน ไม่ใช่เป็นครูผู้สอน ซึ่งอาจเป็นการพัฒนาบทเรียนแบบ Online ให้นักเรียนเข้ามาศึกษาด้วยตนเองก็ได้
     โครงงานประเภทนี้สามารถพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ประกอบการสอนในวิชาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสาขาคอมพิวเตอร์ วิชาคณิตศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ วิชาสังคม วิชาชีพอื่น ๆ ฯลฯ โดยนักเรียนอาจคัดเลือกหัวข้อที่นักเรียนทั่วไปที่ทำความเข้าใจยาก มาเป็นหัวข้อในการพัฒนาโปรแกรมบทเรียน ตัวอย่างเช่น โปรแกรมสอนวิธีการใช้งาน ระบบสุริยะจักรวาล โปรแกรมแบบทดสอบวิชาต่าง ๆ
ตัวอย่างโครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

2. โครงงานพัฒนาเครื่องมือ (Tools Development)
       เป็นโครงงานเพื่อพัฒนาเครื่องมือมาใช้ช่วยสร้างงานประยุกต์ต่าง ๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นในรูปซอฟต์แวร์ ตัวอย่างของเครื่องมือช่วยงาน เช่น ซอฟต์แวร์วาดรูป ซอฟต์แวร์พิมพ์งาน ซอฟต์แวร์ช่วยการมองวัตถุในมุมต่าง ๆ เป็นต้น สำหรับซอฟต์แวร์เพื่อการพิมพ์งานนั้นสร้างขึ้นเป็นโปรแกรมประมวลผลภาษา ซึ่งจะเป็นเครื่องมือให้เราใช้งานในงานพิมพ์ต่าง ๆ บนเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นไปได้โดยง่าย ซึ่งรูปที่ได้สามารถนำไปใช้งานต่าง ๆ ได้มากมาย สำหรับซอฟต์แวร์ช่วยในการมองวัตถุในมุมต่าง ๆ ใช้สำหรับช่วยในการออกแบบสิ่งของต่าง ๆ เช่น โปรแกรมประเภท 3D 
ตัวอย่างโครงงานพัฒนาเครื่องมือ


รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
3. โครงงานประเภทจำลองทฤษฎี (Theory Experiment)
     เป็นโครงงานใช้คอมพิวเตอร์ในการจำลองการทดลองของสาขาต่าง ๆ เป็นโครงงานที่ผู้ทำต้องศึกษารวบรวมความรู้ หลักการ ข้อเท็จจริงและแนวความคิดต่าง ๆ อย่างลึกซึ้งในเรื่องที่ต้องการศึกษา แล้วเสนอเป็นแนวคิด แบบจำลอง หลักการ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของสมการ สูตร หรือคำอธิบายก็ได้ พร้อมทั้งนำเสนอวิธีการจำลองทฤษฎีด้วยคอมพิวเตอร์ การทำโครงงานประเภทนี้มีจุดสำคัญอยู่ที่ผู้ทำต้องมีความรู้เรื่องนั้น ๆ เป็นอย่างดี ตัวอย่าง เช่น การทดลองเรื่องการไหลของเหลว การทดลองเรื่องพฤติกรรมของปลาอโรวาน่า ทฤษฎีการแบ่งแยกดีเอ็นเอ เป็นต้น 
ตัวอย่างโครงงานประเภทจำลองทฤษฎี

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การทดลองผสมสารเคมีต่างๆ ด้วยคอมพิวเตอร์


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ปัจจัยต่างๆ กับการเคลื่อนที่ของเครื่องบิน

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

4. โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน (Application)
     เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างผลงานเพื่อประยุกต์ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน เช่น ซอฟต์แวร์สำหรับการออกแบบและตกแต่งอาคาร ซอฟต์แวร์สำหรับการผสมสี ซอฟต์แวร์สำหรับการระบุคนร้าย เป็นต้น โครงงานงานประเภทนี้จะมีการประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่าง ๆ ซึ่งอาจจะสร้างใหม่หรือปรับปรุงดัดแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มี ประสิทธิภาพสูงขึ้นก็ได้ โครงงานลักษณะนี้จะต้องศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ก่อน แล้วนำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการออกแบบ และพัฒนาสิ่งของนั้น ๆ ต่อจากนั้นต้องมีการทดสอบการทำงานหรือทดสอบคุณภาพของสิ่งประดิษฐ์แล้วปรับปรุงแก้ไขให้มีความสมบูรณ์ โครงงานประเภทนี้นักเรียนต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาษาโปรแกรม และเครื่องมือต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งอาจใช้วิธีทางวิศวกรรมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ในการพัฒนาด้วย
ตัวอย่างโครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ตัวอย่างโครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ตัวอย่างโครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน

5. โครงงานพัฒนาเกม (Game Development)
 เป็นโครงงานพัฒนาซอฟต์แวร์เกมเพื่อความรู้ และ/หรือ ความเพลิดเพลิน เช่น เกมหมากรุก เกมหมากฮอส เกมการคำนวณเลข ซึ่งเกมที่พัฒนาขึ้นนี้น่าจะเน้นให้เป็นเกมที่ไม่รุนแรง เน้นการใช้สมองเพื่อฝึกคิดอย่างมีหลักการ โครงงานประเภทนี้จะมีการออกแบบลักษณะและกฎเกณฑ์การเล่น เพื่อให้น่าสนใจเก่ผู้เล่น พร้อมทั้งให้ความรู้สอดแทรกไปด้วย ผู้พัฒนาควรจะได้ทำการสำรวจและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเกมต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั่วไปและนำมาปรับปรุงหรือพัฒนาขึ้นใหม่เพื่อให้เป็นเกมที่แปลกใหม่ และน่าสนใจแก่ผู้เล่นกลุ่มต่าง ๆ  
ตัวอย่างโครงงานพัฒนาเกม

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โครงงานพัฒนาเกม

👮👯👰👱👲👳👴👵👶👷👸👹👺👻💂

ประเภทโครงงานคอมพิวเตอร์


ตัวอย่างโครงงานคอมพิวเตอร์


กิจกรรมที่2 โครงงานคอมพิวเตอร์

🔎 โครงงานคอมพิวเตอร์

   โครงงานคอมพิวเตอร์ หมายถึง กิจกรรมการเรียนที่นักเรียนมีอิสระในการเลือกศึกษาปัญหาที่ตนเองสนใจ โดยจะต้องวางแผนการดำเนินงาน ศึกษา พัฒนาโปรแกรม โดยใช้ความรู้ทางกระบวนการวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนทักษะพื้นฐานในการพัฒนาโครงงาน เรื่องที่นักเรียนสนใจและคิดจะทำโครงงาน ซึ่งอาจมีผู้ศึกษามาก่อน หรือเป็นเรื่องที่นักพัฒนาโปรแกรมได้เคยค้นคว้าและพัฒนาแล้ว
  นักเรียนสามารถทำโครงงานเรื่องดังกล่าวได้ แต่ต้องคิดดัดแปลงแนวทางในการศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาโปรแกรม หรือศึกษาเพิ่มเติมจากผลงานเดิมที่มีผู้รายงานไว้ จุดมุ่งหมายสำคัญของการทำโครงงานเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงในการใช้ระบบคอมพิวเตอร์แก้ปัญหา ประดิษฐ์คิดค้น หรือค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ
   ได้ใช้คอมพิวเตอร์ในการพัฒนาสื่อการเรียนรู้เพื่อการศึกษา ประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ พัฒนาโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ตลอดจนการพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์ เพื่อฝึกให้นักเรียนเป็นบุคคลที่ใฝ่เรียนใฝ่รู้ การพัฒนาความคิดใหม่ๆ ความมีคุณธรรมจริยธรรม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้กับเพื่อนมนุษย์ และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ technology

ความสำคัญของการทำโครงงานคอมพิวเตอร์
    โครงงานคอมพิวเตอร์ เป็นผลงานที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าตามความสนใจ ความถนัดและความสามารถของผู้เรียน โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ โครงงานจึงเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีการเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยผู้เรียนจะหาหัวข้อโครงงานที่ตนเองสนใจ รวมทั้งเชื่อมโยงความรู้ต่าง ๆ และความรู้ด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อสร้างผลงานตามความต้องการได้อย่างเหมาะสม โดยมีครูเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำ        
    
    โครงงานคอมพิวเตอร์เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนเกิดความสามารถในด้านที่สำคัญ 5 ประการ ดังนี้
1.ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถที่เกิดจากการที่นักเรียนเป็นผู้ทำโครงงานต้องนำเสนอผลงานให้ ครูและเพื่อนนักเรียนให้เข้าใจโครงงานคอมพิวเตอร์ได้อย่างชัดเจน ดังนั้น ผู้ทำโครงงานต้องสื่อสารความคิดในการสร้างสรรค์โครงงานด้วยการเขียน หรือด้วยปากเปล่า รวมทั้งเลือกใช้รูปแบบของสื่ออย่างมีประสิทธิภาพเพื่อนำเสนอแนวคิดในการจัด โครงงานให้ผู้อื่นได้เข้าใจ
2.ความสามารถในการคิด ซึ่งผู้เรียนจะมีการคิดในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
- การคิดวิเคราะห์ เกิดจากการที่ผู้เรียนต้องวิเคราะห์ปัญหาและแยกแยะสาเหตุว่าเกิดเนื่องจากอะไร
การคิดสังเคราะห์ เกิดจากการที่ผู้เรียนต้องนำความรู้ต่าง ๆ ที่เรียนมา รวมทั้งความรู้จากการค้นหาข้อมูล เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาหรือการสร้างสรรค์โครงงาน
- การคิดอย่างสร้างสรรค์ เกิดจากการที่ผู้เรียนนำความรู้มาสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ
- การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การที่ผู้เรียนได้มีการคิดไตร่ตรองว่าควรทำโครงงานใดและไม่ควรทำโครง งานใด เนื่องจากโครงงานที่สร้างขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม เช่น โครงงานระบบคำนวณเลขหวย สำหรับหาเลขที่คาดว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลจะออกในแต่ละงวด อาจส่งผลกระทบต่อสังคม ทำให้คนในสังคมเกิดความหมกมุ่นในกับการใช้เงินเล่นหวยมากขึ้น
- การคิดอย่างเป็นระบบ เกิดจากการที่ผู้เรียนคิดแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน โดยใช้ขั้นตอนในการพัฒนาโครงงาน คือ ผู้เรียนเป็นผู้วางแผนในการศึกษา ค้นคว้า เก็บรวบรวมข้อมูล พัฒนา หรือประดิษฐ์คิดค้นผลงาน รวมทั้งการสรุปผลและการนำเสนอผลการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง โดยมีผู้สอนและผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ให้คำปรึกษา
3.ความสามารถในการแก้ปัญหา เกิดจากการที่ผู้เรียนวิเคราะห์ปัญหา เข้าใจ และอธิบายปัญหาทางด้านคอมพิวเตอร์ รวมทั้งประยุกต์ความรู้ ทักษะ และการใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับการแก้ไขปัญหา
4.ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เกิดจากการที่ผู้เรียนได้นำความรู้และกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการพัฒนาโครงงาน และนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม รวมถึงการพัฒนาโครงงาน ก่อให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง อันนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต
5.ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เกิดจากการที่ผู้เรียนสามารถเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการแก้ปัญหาได้ อย่างถูกต้องเหมาะสม และมีคุณธรรม

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ technology

ขอบข่ายของโครงงานคอมพิวเตอร์
1.เป็นกิจกรรมการเรียนให้นักเรียนศึกษา ค้นคว้า ปฏิบัติดัวยตนเองโดยอาศัยหลักวิชาการทางทฤษฎีตามเนื้อหาโครงงานนั้นๆ หรือจากประสบการณ์และกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้พบเห็นมากแล้ว
2.นักเรียนทุกคนพิจารณาจัดทำโครงงานด้วยตนเอง หรือเป็นกลุ่มโดยใช้ระยะเวลาสั้นๆ เป็นภาคเรียน หรือมากว่าก็ได้ แล้วแต่โครงงานเล็กหรือใหญ่
3.นักเรียนเป็นผู้พิจารณาริเริ่มสร้างสรรค์ คัดเลือกโครงงานที่จะศึกษาค้นคว้าปฏิบัติด้วยตนเองตามความถนัด สนใจ และความพร้อม
4.นักเรียนเป็นผู้เสนอโครงงาน รายละเอียดของโครงงาน แผนปฏิบัติงานและการแปลผล รายงานผลต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อดำเนินงานร่วมกันให้บรรลุตามจุดหมายที่กำหนดไว้
5.เป็นโครงงานที่เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถของนักเรียนตามวัยและสติปัญญา รวมทั้งการใช้จ่ายเงินดำเนินงานด้วย

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ technology

  เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีผลกระทบต่อความเจริญก้าวหน้าของสังคม ปัจจุบันเทคโนโลยีด้านนี้มีการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงเป็นเรื่องยากที่ประชาชนจะคอยติดตามความก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการศึกษาเทคโนโลยี ของคอมพิวเตอร์ จึงต้องศึกษาหลักการและเนื้อหาพื้นฐานเป็นสำคัญ การศึกษาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ เป็นสิ่งจำเป็นเสมือนกับการศึกษาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ คอมพิวเตอร์ได้เปลี่ยนแปลง โลกของเราในด้านต่างๆ มากมาย ได้แก่
1. สังคมโดยส่วนใหญ่เปลี่ยนจากสังคมอุตสาหกรรมเป็นสังคมสารสนเทศ
2. การตัดสินใจในเรื่องต่างๆ มักขึ้นอยู่กับข้อมูลซึ่งได้จากระบบคอมพิวเตอร์
3.คอมพิวเตอร์กลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญแทนเครื่องมืออื่นๆ ในอดีต
4. คอมพิวเตอร์ถูกใช้ในการออกแบบสถานการณ์หรือปัญหาที่ซับซ้อนต่างๆ
5. คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์หลักที่ใช้ในงานติดต่อสื่อสารของโลกปัจจุบัน

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ computer project

     โครงงานคอมพิวเตอร์ในระดับมัธยมศึกษา ควรเป็นประเด็นหรือปัญหาที่ผู้เรียนสนใจ และสามารถใช้ความรู้ ทักษะ ตลอดจนประสบการณ์ในระดับของผู้เรียน เพื่อคิดแนวทางในการแก้ปัญหาและพัฒนาโปรแกรม อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ผู้เรียนสนใจนั้นอาจมีผู้ศึกษามาก่อน หรือเป็นเรื่องที่ได้เคยค้นคว้าและพัฒนามาแล้ว แต่ผู้เรียนก็ยังสามารถทำโครงงานเรื่องดังกล่าวได้ เพียงแต่คิดดัดแปลงแนวทางในการศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาโปรแกรม หรือศึกษาเพิ่มเติมจากผลงานเดิมที่มีผู้รายงานไว้ 

🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโครงงานคอมพิวเตอร์



วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

กิจกรรมที่1 คลังความรู้ คลังข้อสอบ

🎓 ระบบคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาอุมศึกษา

        TCAS หรือ Thai University Center Admission System เป็นระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งจะเริ่มนำมาใช้ในปีการศึกษา 2561 เป็นระบบที่ออกแบบโดยที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) สามารถติดตามและตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ ได้ผ่านทางเว็บไซต์ทางการ http://TCAS61.cupt.net
1. คัดเลือกโดยการส่งแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio)
ในรอบนี้จะพิจารณาจากผลงานของนักเรียนที่นำมาใส่ Portfolio ไม่มีการสอบข้อเขียน ซึ่งแต่ละมหาวิทยาลัยจะคัดเลือกนักเรียนจำนวนหนึ่ง อาจจะมีกาสัมภาษณ์หรือทดสอบทักษะเฉพาะทาง โดยการคัดเลือกในรอบนี้เป็นแค่การ Pre- screening เท่านั้น
2. สมัครโควตาแบบมีสอบข้อเขียน สำหรับนักเรียนในพื้นที่
ในรอบนี้จะเป็นการรับนักเรียนแบบโควตา สำหรับนักเรียนที่อยู่ในพื้นที่ หรือ รอบเขตการศึกษา ที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนด ในขั้นตอนนี้ทางมหาวิทยาลัยสามารถจัดสอบเองได้เลย หรือจะใช้ข้อสอบส่วนกลาง อย่าง 9วิชาสามัญ หรือ GAT/PAT เพื่อคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษา
3. การรับตรงร่วมกัน
ในรอบนี้เป็นการสอบรับตรง ซึ่งโครงการรับตรงอย่าง กสพท. ก็รวมอยู่ในรอบนี้ด้วย โดยทาง ทปอ. จะเป็นส่วนกลางในการรับสมัครในรอบนี้ และทางมหาวิทยาลัยจะพิจารณาผลการคัดเลือก โดยผู้สมัครสามารถเลือกได้ 4 สาขาวิชา
4. การรับ Admission
ในรอบนี้ยังคงใช้เกณฑ์ในการคัดเลือกแบบ Admission โดยใช้องค์ประกอบของคะแนน อย่างเช่น GPAX, O-NET, GAT/PAT หรืออื่นๆ ซึ่งผู้สมัครสามารถเลือกได้ 4 สาขาวิชา
5. การรับตรงแบบอิสระ       
ทางมหาวิทยาลัยสามารถใช้เกณฑ์การสอบที่จัดขึ้นเอง หรือการสอบวิชาเฉพาะ และส่งผลการคัดเลือกให้ทาง ทปอ.


ปฏิทินการคัดเลือก



ข้อดีของระบบ TCAS


สำหรับเด็ก ซิ่ว/อินเตอร์/เข้าม.ราชภัฏและม.เทคโนโลยีราชมงคล

ค่าสมัครในระบบ TCAS



สรุประบบ TCAS



รูปแบบข้อสอบ จำนวนข้อและเนื้อหาการสอบ

GAT-PAT

Gatpat 61 from wisita42

O-NET
o-net 61 from wisita42

9วิชาสามัญ

Compressed 9sub from wisita42

แอพพลิเคชันแนะนำสำหรับสมาร์ทโฟน


  “OpenDurian เตรียมสอบเลขแอพลิเคชันฝึกทำข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์บนแอนดรอย สำหรับน้องๆ ม.ต้น ม.ปลาย และ ปี 1 ปี 2 ที่กำลังมองหาแอพลิเคชันรวมแนวข้อสอบยอดนิยม ที่เน้นแสดงผลสมการทางคณิตศาสตร์ได้ถูกต้อง สวยงาม อ่านง่าย และสามารถพกติดตัวไปใช้ฝึกทำข้อสอบได้ทุกๆ ที่แม้ไม่มีอินเตอร์เน็ต 



    แอพพลิเคชัน สอบติด แอพฯนี้คือการต่อยอดจากธุรกิจเดิมของครบครัวสำนักพิมพ์ ภูมิบัณฑิต สำนักพิมพ์ที่เชี่ยวชาญ ด้านคู่มือเรียนวิชาเสริมพิเศษเพื่อเด็กประถมและมัธยม มากกว่า 40 ปีของไทย เล็งเห็นว่าธุรกิจต้องปรับตัวพร้อมให้ทันต่อโลกในปัจจุบัน และอนาคต จึงได้เกิดแนวคิด การเข้าสู่ Application content จนมาเป็น แอพฯแรก และ แอพฯเดียวของไทย ที่สามารถให้น้องๆที่เตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย หรือกำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษา ได้ทดสอบทำข้อสอบ GAT /PAT, O-net และ9 วิชาสามัญก่อน และได้ทราบผลพร้อมรู้ว่าตัวเองบกพร่องด้านไหน หรือตัวเองมีจุดแข็งด้านไหน
ดาวโหลดสำหรับAndroid ที่ https://play.google.com/store/apps/details?id=edutainment.sobtid.android.admission&hl=th
ดาวโหลดสำหรับ ios ที่ https://itunes.apple.com/th/app/sobtid-me-%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%95-%E0%B8%94-admission/id1191038395?mt=8

คลังข้อสอบ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปทำข้อสอบ

ข้อสอบ GAT ENG

ข้อสอบ GAT THAI


ข้อสอบ PAT 1 คณิตศาสตร์

ข้อสอบ PAT 2 วิทยาศาสตร์

ข้อสอบ PAT 3 วิศวกรรมศาสตร์

ข้อสอบ PAT 4 สถาปัตยกรรมศาสตร์

ข้อสอบ PAT 5 วิชาชีพครู


ข้อสอบ PAT 6 ศิลปกรรมศาสตร์

ข้อสอบ PAT 7 ภาษา 



ข้อสอบ O-NET
ข้อสอบ 9 วิชาสามัญ 

คลังความรู้ 
สรุปเนื้อหาวิชาภาษาอังกฤษ 


สรุปภาษาอังกฤษ from wisita42

สรุปเนื้อหาวิชาภาษาไทย

สรุปภาษาไทย from wisita42

สรุปเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์



สรุปเนื้อหาวิชาเคมี


สรุปเนื้อหาวิชาชีววิทยา


สรุปเนื้อหาวิชาฟิสิกส์


สรุปสูตรฟิสิกส์ from wisita42

สรุปเนื้อหาวิชาสังคมศึกษา

สรุปสังคม from wisita42

อยากมีไฟในการอ่านหนังสือต้องทำไง

1. มองเป้าหมายไว้ให้ชัดเจน
     ต้องมองเป้าหมายของ ให้เห็นอย่างชัดเจน เพื่อที่จะได้เดินไปได้ถูกทาง เช่น น้องอยากเป็นหมอมาก ๆ เพราะอยากช่วยเหลือผู้อื่น น้อง ๆ ก็ต้องมองให้เห็นภาพตัวเองที่เป็นหมอกำลังรักษาผู้อื่นอยู่ ซึ่งภาพนี้จะเป็นตัวนำทางและเป็นแรงผลักดันให้น้อง ๆ ไปเองว่าถ้าอยากเป็นหมอ ก็ต้องลุกขึ้นมาอ่านหนังสือตั้งแต่วันนี้สิ ! ถ้าไม่อ่านหนังสือแล้วเป้าหมายที่วางไว้มันจะเป็นจริงได้อย่างไรละ
2. นึกถึงความเสียใจในอดีต
     หลาย ๆ คนคงเคยสอบได้คะแนนไม่ดี (เช่น GAT/PAT รอบที่ผ่านมา) ในเมื่อเรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ และเราก็คงไม่อยากจะรู้สึกเสียใจอย่างนั้นอีก ทำไมไม่ปรับปรุงตัวให้ดีกว่าเดิมละครับ จัดตารางอ่านหนังสืออย่างจริงจัง ตั้งใจอ่านหนังสือให้มากขึ้น พยายามให้มากกว่าคนอื่น และคิดกับตัวเองเสมอว่า เราต้องไม่พลาดอย่างนั้นอีก !ก็จะช่วยให้น้อง ๆ ลุกไปอ่านหนังสือได้แล้ว
3. มองคนรอบตัว
     ความฝันของน้องที่อยากเป็นนู้นเป็นนี่ หลายครั้งก็มีคนแชร์ความฝันด้วย ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ หรือ ญาติ ๆ คนอื่น ดังนั้นพวกเขาเหล่านั้นก็คงจะดีใจไม่น้อยกว่าน้อง ๆ แน่นอนถ้าหากว่าน้องทำความฝันนั้นสำเร็จ แต่ถ้าวันนี้ยังนอน ยังเล่นเกม ยังออกไปเที่ยวเล่น ความฝันไม่มีทางสำเร็จ ดังนั้นหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเพื่อทำความฝันของตัวเองและคนรอบข้างที่คอยให้กำลังใจให้เป็นจริงเถอะ
4. เงยหน้ามองคนที่เหนือกว่าเสมอ
     บางคนเมื่อไม่เป็นอย่างที่หวังก็จะคิดซะว่า ยังมีอีกตั้งหลายคนที่คะแนนแย่กว่าเราถ้าใครกำลังคิดอย่างนี้ หยุด ! เดี๋ยวนี้เลยครับ เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนที่เขาเหนือกว่า และพยายามแข่งขันกับเขาดีกว่านะ เพราะถ้ามัวแต่มองคนที่เขาอ่อนกว่า แล้วเมื่อไหร่เราจะพัฒนา
5. ไปนั่งอ่านกับเพื่อนที่ขยันอ่านหนังสือ
     วิธีนี้ใช้ได้ผลค่อนข้างดีในน้อง ๆ หลายคน เพราะเมื่อน้องไปนั่งอ่านหนังสือกับเพื่อนที่เขาขยันอ่านหนังสือก็จะเสมือนการบังคับให้น้องต้องอ่านหนังสือไปด้วย เพราะกดดันที่เห็นเพื่อนอ่าน หรือจะเพราะไม่มีใครรบกวนสมาธิทำให้อ่านได้นาน ข้อดีของการมีเพื่อนที่ขยัน ๆ ไปอ่านหนังสือด้วยคือเมื่อน้อง ๆ มีตรงไหนที่ไม่เข้าใจก็สามารถถามเพื่อนเหล่านั้นได้อีกด้วย เพราะเขามักจะมีความรู้มากระดับนึงอยู่แล้วละ !
6. พักสักนิดก่อนกลับมาลุยต่อ
     ในกรณีที่น้องหมดไฟจริง ๆ ทำยังไงก็อ่านหนังสือต่อไม่ไหว ไม่มีสมาธิในการอ่าน คำแนะนำของพี่คือลุกออกจากโต๊ะที่อ่าน แล้วเดินไปทำกิจกรรมอย่างอื่นสักพัก เช่น ดูทีวี ฟังเพลง เดินเล่นนอกบ้าน เพื่อให้ร่างกายผ่อนคลาย แล้วค่อยกลับมาตั้งใจอ่านอย่างจริงจัง แต่มีข้อควรระวังคืออย่าไปพักผ่อนเพลินจนไม่กลับมาอ่านหนังสือละ ไม่งั้นก็จะไม่ได้อะไรเลย

จัดตารางอ่านหนังสืออย่างไรดี

1. เริ่มอ่านจริงจังอย่างน้อย 6 เดือนก่อนสอบ
     คำถามแรกที่น้องๆมักถามกันคือควรเริ่มอ่านหนังสือเตรียมสอบเมื่อไหร่ดี ซึ่งคำตอบนั้นไม่ตายตัว แล้วแต่ว่าน้องๆอ่านเร็วหรือช้า ต้องใช้เวลาอ่านเยอะไหม แต่อย่างไรก็ตามพี่ๆมีคำแนะนำว่าควรเริ่มอ่านอย่างช้าที่สุดคือ 6 เดือนก่อนสอบ เพราะเนื้อหที่จะใช้สอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นไม่ใช่น้อยๆนะครับ การอ่านให้จบทั้งหมดนั้น เวลา 6 เดือนนี้น่าจะน้อยที่สุดที่จะเป็นไปได้แล้วละ ส่วนใครที่เริ่มอ่านได้เร็วกว่านั้น ก็ควรเริ่มอ่านเร็วกว่านั้นนะครับ ไม่ใช่รอให้ถึง 6 เดือนละ
2. อ่านไปทีละวิชา
     คำแนะนำของพี่ๆคืออ่านไปทีละวิชาครับ เพราะการอ่านหนังสือนั้นสมองของเราต้องใช้เวลาในการประมวลผล และย่อยข้อมูลเพื่อที่จะสรุปเป็นความเข้าใจของตนเองเก็บไว้ในสมองต่อไป ดังนั้นพี่ๆจึงแนะนำให้อ่านไปทีละวิชา เพราะถ้าหากว่าอ่านเปลี่ยนวิชาไปมา สมองยังไม่ทันที่จะได้สรุปเนื้อหาวิชาก่อน ก็จะต้องรับข้อมูลวิชาใหม่เข้ามาแล้ว อย่างนี้ก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่ใช่ไหมละ
3. ควรอ่านเนื้อหาให้จบ 1-2 เดือนก่อนสอบ
     การวางแผนอ่านหนังสือเตรียมสอบ ไม่ควรตั้งเป้าหมายให้จบเนื้อหาทั้งหมดในวันก่อนสอบ แต่ควรวางแผนให้จบประมาณ 1-2 เดือนก่อนสอบ เพื่อที่จะได้นำเวลาที่เหลือไปฝึกทำโจทย์ ให้รู้ข้อบกพร่อง จะได้แก้ไข และปรับปรุงได้ทัน อีกทั้งอย่างที่พี่ๆได้บอกไปแล้วว่าสมองของเราต้องการเวลาในการที่จะประมวล และย่อยข้อมูลเพื่อเก็บในสมองต่อไป ดังนั้นการอ่านเนื้อหาจบก่อนสอบพอดีเลย ย่อมทำให้สมองไม่สามารถนำเนื้อหาส่วนที่อ่านในช่วงใกล้สอบมากๆมาใช้ในการทำข้อสอบได้อย่างแน่นอน
4. ต้องทำข้อสอบหรือโจทย์
     ข้อนี้ต้องเน้นไว้เลยนะครับ การทำข้อสอบเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะจะทำให้น้องๆได้รู้จุดบกพร่องที่ควรนำไปปรับปรุงแก้ไข และยังสามรถเรียนรู้เนื้อหาได้จากการทำข้อสอบอีกด้วย น้องๆอาจทำข้อสอบหรือโจทย์ทุกครั้งที่อ่านหนังสือจบ 1 บท หรือจะทำข้อสอบทีเดียวภายหลังจากการอ่านเนื้อหาจบก็ได้ แต่ควรแยกการอ่านเนื้อหากับการทำข้อสอบออกจากกัน เพื่อที่จะได้ประเมินการอ่านเนื้อหาของเราจากการทำข้อสอบได้นั่นเอง
5. อ่านวันละกี่ชั่วโมงดีละ
     นี่ก็เป็นอีกคำถามที่น้องๆสงสัยกันใช่ไหมละ สำหรับตัวเลขนั้นพี่ๆแนะนำอยู่ที่ 3-4 ชม น้องๆอาจรู้สึกเหมือนเยอะ แต่น้องๆไม่จำเป็นที่จะต้องอ่าน 3-4 ชมในทีเดียวนะครับ โดยอาจอ่านตื่นมาอ่านตอนเช้าครึ่งชม อ่านตอนพักเที่ยงครึ่งชม อ่านในคาบว่าง 1 ชม และกลับบ้านไปอ่าน 1-2 ชม ซึ่งโดยรวมแล้วน้องๆก็จะอ่านได้ประมาณ 3-4 ชม โดยที่ไม่ต้องอ่านรวดเดียว ถ้าหากว่ายังรู้สึกว่าเยอะอยู่ดี ก็อยากให้น้องๆได้ระลึกไว้เสมอนะครับ ว่าคู่แข่งของเรานั้นอาจจะอ่านเยอะกว่านี้ก็ได้

เทคนิคการจดเลกเชอร์

1. ใช้สัญลักษณ์
     การใช้สัญลักษณ์แทนคำพูดนั้นจะช่วยให้สามารถจดเลกเชอร์ได้ง่าย และรวดเร็วขึ้นมากเลยละครับ อีกทั้งหลายๆครั้งทำให้ง่ายต่อการทบทวนอีกด้วย สัญลักษณ์ต่างๆที่ว่านั้นอาจคิดขึ้นมาเองเพื่อสื่อความหมายของตนเองโดยเฉพาะก็เป็นได้ เช่น ใช้ดอกจัน (***) เพื่อเน้นตรงที่สำคัญ และควรรู้เพราะอาจารย์ย้ำ ใช้เครื่องหมายบวก (+) เพื่อแทนคำว่า และใช้ลูกศรชี้ขึ้นหรือลงเพื่อแทนคำว่า เพิ่มขึ้นหรือลดลงเป็นต้น
2. แบ่งครึ่งกระดาษ
     ในกรณีที่ต้องจดลงกระดาษบางชนิดเช่น A4 การแบ่งครึ่งกระดาษตามแนวยาวของกระดาษจะช่วยให้สามารถจดได้ง่ายขึ้น ไม่เปลืองกระดาษและอ่านง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก เช่น ในวิชาคณิตศาสตร์เมื่อจดวิธีทำนั้นจะพบว่า 1 บรรทัดอาจเขียน 1 สูตรแล้วก็ขึ้นบรรทัดต่อไปในขั้นตอนต่อไป ทำให้เปลืองกระดาษและเมื่ออ่านก็อาจต้องมองในมุมที่กว้างเพราะในบางครั้งประโยคอยู่ชิดด้านซ้ายกระดาษ สูตรอยู่กลางกระดาษการอ่านลักษณะนี้ก็อาจจะลำบากไปสักนิด แต่หากเปลี่ยนรูปแบบการจดมาจดทีละครึ่งหน้าก็จะพบว่าเปลืองกระดาษน้อยกว่าทำให้จำนวนกระดาษที่ต้องพกพากรณีที่เปลี่ยนสถานที่อ่านก็น้อยกว่า อีกทั้งการอ่านสิ่งที่จดมาก็จะอ่านได้ง่ายกว่าเพราะมุมที่มองก็แคบกว่าและพอดีกับสายตานั่นเอง
3. ฟังก่อนจด
     การจดเลกเชอร์ที่ดีนั้น ต้องฟังก่อนจดเสมอเพราะเมื่อฟังแล้วก็จะต้องคิดตามและจัดระเบียบเนื้อหาต่างๆที่ผ่านเข้ามาในสมองก่อนที่จะทำการจดลงไป ซึ่งจะทำให้การจดนั้นป็นขั้นเป็นตอน มีระบบ และเมื่อกลับมาอ่านก็จะสามารถทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็วเพราะเคยคิด และจัดระเบียบเนื้อหานั้นในสมองมาก่อนแล้ว ไม่ใช่สักแต่ว่าจดลงไป
4. แบ่งหัวข้อให้ชัดเจน
     การจดที่ดีนั้นควรมีการแบ่งหัวข้อให้ชัดเจนเพื่อที่เมื่ออ่านจะได้รู้ว่าจบ 1 หัวข้อแล้วกำลังขึ้นหัวข้อใหม่ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการอ่านมากเลยละ
5. เป็นระเบียบและเว้นที่ว่างบ้าง
     คงไม่มีใครอยากอ่านเลกเชอร์ที่ไม่เป็นระเบียบใช่ไหมละ เพราะอ่านยากและทำให้สับสนได้มาก ดังนั้นการจดเลกเชอร์ก็ควรที่จะจดให้เป็นระเบียบและเขียนตัวหนังสือให้อ่านง่าย เพื่อให้การกลับมาอ่านทบทวนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งควรมีการเว้นที่ว่างบ้างในหน้าที่จดเพื่อให้ได้มีการพักสายตาจากเนื้อหาที่อ่านบ้างนั่นแหละครับ
6. ใช้ตัวย่อ
     เทคนิคการจดเลกเชอร์ให้เร็วอีกอย่างคือการใช้ตัวย่อแทนคำต่างๆที่จำเป็นต้องเขียนยาวๆ เช่น ปสกแทนคำว่า ประสบการณ์คำว่า ตยแทนคำว่า ตัวอย่างตัวอักษร ค.แทนคำว่า ความเป็นต้น โดยอักษรย่อเหล่านี้นั้นอาจคิดขึ้นมาเองเพื่อให้ตนเองเข้าใจได้ก็พอแล้วละ

5 เทคนิคการจำ

1. จำเป็นภาพ
          วิธีการจำเป็นภาพนั้น เป็นวิธีที่คนเก่งๆจำนวนมากเขาใช้ในการจำเนื้อหาภายในเวลาอันสั้นเลยละ ถ้าหากว่าน้องๆสามารถทำได้การจำเนื้อหาบทเรียนต่างๆก็คงไม่ใช่เรื่องยากต่อไป สำหรับเทคนิคการจำเป็นภาพนั้นทำได้ง่ายๆโดยการเปิดรูปภาพดูไปด้วยเมื่อต้องอ่านคำบรรยายลักษณะต่างๆเช่น เมื่ออ่านเรื่องเกี่ยวกับไตแล้วพบคำศัพท์แปลกๆมากมายทั้ง renal pelvis, major calyx, minor calyx อ่านให้ตายยังไงก็จำไม่ได้ ลองเปิดภาพดูสิครับ ในภาพจะมีการระบุตำแหน่งของแต่ละชื่อให้ด้วย ก็จะช่วยให้เราจำเนื้อหาได้นานขึ้น เพราะเห็นภาพโครงสร้างมากขึ้นไง
2. ใช้ไฮไลต์เข้าช่วย
          ถ้าหากว่าอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ จำได้บ้าง หลุดประเด็นบ้าง สุดท้ายอ่านจบอาจจะพบว่า จำอะไรไม่ได้เลย วิธีการแก้คืออ่านแล้วไฮไลต์ไปด้วยครับ เพราะการไฮไลต์นั้นเป็นการย้ำกับสมองของเราเองว่าประเด็นนี้สำคัญ ประเด็นนี้ต้องรู้ ทำให้สมองได้คิดในประเด็นที่ไฮไลต์ ก่อนที่จะนำไปเก็บไว้ในส่วนความจำของสมองต่อไป การไฮไลต์นั้นนอกจากจะทำให้เราจำเนื้อหาได้ดีขึ้นแล้วนั้นยังทำให้เมื่อเราต้องกลับมาอ่านทบทวนเนื้อหา นั้นสามารถทำได้ง่ายขึ้นอีกด้วย เพราะถ้าเวลาน้อย ก็อ่านเฉพาะประเด็นหลักๆที่เคยไฮไลต์ไว้แล้วได้ไง
3. จะจำได้ต้องหัดเขียน
          เทคนิคนึงที่ช่วยให้น้องๆสามารถจำเนื้อหาได้คือการเขียนครับ เช่น สูตรที่ต้องจำในวิชาฟิสิกส์มีเยอะมากๆถ้าจะนั่งท่องไปเรื่อยๆทุกสูตร รับรองว่าท่องเสร็จก็ลืม จำไม่ได้หรอกครับ แต่ลองฝึกเขียนสูตรลงกระดาษสิครับ เมื่อต้องเขียนนั้นทุกอย่างที่น้องจะเขียนออกมาได้นั้นต้องผ่านสมอง ดังนั้นสูตรฟิสิกส์ที่จะเขียนออกมาได้นั้นก็ต้องผ่านสมอง แล้วสมองก็จะเก็บสูตรนั้นเข้าไปส่วนความจำได้
4. ทำสรุปสั้นๆ
          เมื่ออ่านเนื้อหาบทใดบทหนึ่งจบแล้ว ลองทำสรุปเนื้อหาสั้นๆของบทนั้นๆดูครับ จะช่วยให้จำเนื้อหาได้มากเลยละ เพราะคนที่จะสามารถสรุปเนื้อหาได้นอกจากจะต้องจำได้แล้ว ยังต้องเข้าใจ และจับประเด็นที่สำคัญได้ออกด้วย ดังนั้นถ้าหากได้ลองสรุปเนื้อหาก็เปรียบเสมือนการได้ทบทวนเนื้อหาอีกครั้ง เช็คความเข้าใจ และฝึกจับประเด็น ทำขนาดนี้แล้ว จะจำไม่ได้ได้ยังไง
          ข้อนี้ตรงไปตรงมา เพราะแน่นอนว่าการอ่านบ่อยๆนั้นจะช่วยให้น้องๆสามารถจำเนื้อหาได้ดีขึ้น และดีกว่าการอ่านเยอะๆช่วยใกล้สอบเพียงอย่างเดียวด้วยนะครับ อาจจะแบ่งเวลาช่วงเย็นของทุกวัน ในการอ่านทบทวนบทเรียนที่เรียนมาในวันนั้นๆแค่นี้ก็ช่วยให้จำบทเรียนได้มากขึ้นแล้ว
ที่มา: https://www.top-atutor.com/

5 ขั้นตอน เตรียมพร้อมสู่มหาวิทยาลัย BY LYCEUM



คำถามฮิตในการสอบสัมภาษณ์





กิจกรรมที่5 แบบฟอร์มโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์

💻  แบบฟอร์มโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์  💻 2560 project from wisita42